หูกวาง
ชื่อทางพฤกษศาสตร์ : Terminalia
Catappa, Linn
วงศ์ : COMBRETACEAE
ชื่อที่เรียก : ในไทยทั่วไปเรียก หูกวาง ภาคใต้เรียก โคน, ดัดมือหลุมบังพายัพเรียก ตาปัง
ลักษณะ : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีกิ่งก้านแตกแผ่ออกไปรอบต้นเป็นชั้นๆดูคล้ายฉัตร ถ้าต้นงามจะแตกแผ่ออกเป็น 2-3 ชั้น สวยดี ใบโตใหญ่รูปลักษณะคล้ายหูกวางจริงๆ แต่โตกว่าหูของกวาง จึงเรียกว่าต้นหูกวาง ใบเขียวแก่และหนา ใช้เป็นไม้ร่มดี ดอกเป็นช่อเล็กๆยาวๆแกมเขียวๆ เหลืองๆ มีผลเกิดจากดอกกลมเเบนๆ มีสันขึ้นเป็นปีกโดยรอบ เมล็ดในโต รับประทานได้เป็นอาหาร
การเจริญเติบโต : เป็นไม้ที่เกิดตามป่าราบทั่วๆไป ปลูกตามบ้านตามวัดเป็นไม้ร่มบังแดดได้ดี เพราะใบมีพุ่มงาม ขึ้นได้ในดินทุกภาคของประเทศไทย ขยายพันธ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ประโยชน์ : ใช้เป็นร่มไม้ได้ดีมาก แต่ไม่ใคร่มีใครปลูกใกล้ตัวอาคารบ้านเรือน ยิ่งเป็นตึกยิ่งไม่หน้าปลูก เพราะเป็นไม้โตเจริญเร็ว ร่กจะดันตัวอาคารทำให้ตัวอาคารแตจกหรือร้าวเสียหายหมดใบแก่ให้สีขี้ม้าและนำมาใช้ในการย้อมผ้าได้ เมล็ด นำเอามาทำเป็นอาหารรับประทานได้ ต้นหูกวางนี้มีชื่อทางการค้าว่า indian almond ใช้รับประทานแก้ขัดเบา แก้นิ่ว
วงศ์ : COMBRETACEAE
ชื่อที่เรียก : ในไทยทั่วไปเรียก หูกวาง ภาคใต้เรียก โคน, ดัดมือหลุมบังพายัพเรียก ตาปัง
ลักษณะ : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีกิ่งก้านแตกแผ่ออกไปรอบต้นเป็นชั้นๆดูคล้ายฉัตร ถ้าต้นงามจะแตกแผ่ออกเป็น 2-3 ชั้น สวยดี ใบโตใหญ่รูปลักษณะคล้ายหูกวางจริงๆ แต่โตกว่าหูของกวาง จึงเรียกว่าต้นหูกวาง ใบเขียวแก่และหนา ใช้เป็นไม้ร่มดี ดอกเป็นช่อเล็กๆยาวๆแกมเขียวๆ เหลืองๆ มีผลเกิดจากดอกกลมเเบนๆ มีสันขึ้นเป็นปีกโดยรอบ เมล็ดในโต รับประทานได้เป็นอาหาร
การเจริญเติบโต : เป็นไม้ที่เกิดตามป่าราบทั่วๆไป ปลูกตามบ้านตามวัดเป็นไม้ร่มบังแดดได้ดี เพราะใบมีพุ่มงาม ขึ้นได้ในดินทุกภาคของประเทศไทย ขยายพันธ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ประโยชน์ : ใช้เป็นร่มไม้ได้ดีมาก แต่ไม่ใคร่มีใครปลูกใกล้ตัวอาคารบ้านเรือน ยิ่งเป็นตึกยิ่งไม่หน้าปลูก เพราะเป็นไม้โตเจริญเร็ว ร่กจะดันตัวอาคารทำให้ตัวอาคารแตจกหรือร้าวเสียหายหมดใบแก่ให้สีขี้ม้าและนำมาใช้ในการย้อมผ้าได้ เมล็ด นำเอามาทำเป็นอาหารรับประทานได้ ต้นหูกวางนี้มีชื่อทางการค้าว่า indian almond ใช้รับประทานแก้ขัดเบา แก้นิ่ว
บริเวณที่พบในโรงเรียน : ข้างสนามเทนนิส
พญาสัตบรรณ
พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดสมุทรสาคร
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alstonia scholaris (L.) R.
Br.
วงศ์ APOCYNACEAE
ชื่อสามัญ White Cheesewood
ชื่ออื่น ตีนเป็ด หัสบัน สัตบรรน จะบัน
บะซา
ไม้ต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15 - 35 เมตร โคนต้นมักเป็นพูพอน
เปลือก สีเทาอ่อนหรือเทาอมเหลือง ค่อนข้างหนา
ใบ ใบเดี่ยวเรียงกันเป็นวง 4 - 7 ใบ แผ่นใบรูปมนแกมรูปไข่กลับ
ปลายแหลมเป็นติ่งเล็กน้อยโคนสอบ เข้าหากันเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ
ดอก ดอกเล็ก สีเขียวอมเหลือง
หรืออมขาวออกเป็นกลุ่มในช่อซึ่งแยกกิ่งก้าน
ออกจากจุดเดียวกันตามปลายกิ่ง
ผล เป็นฝักเรียว ยาว 10 - 20 เซ็นติเมตร เมล็ดแบบทรงบรรทัดแคบ ๆ ยาว ประมาณ
7มิลลิเมตร
มีขนยาวอ่อนนุ่มปุกปุยติดอยู่เป็นกระจุกที่ปลายทั้งสองข้าง
นิเวศวิทยา ขึ้นกระจายอยู่ห่าง ๆ ในป่าดงดิบชื้นทางภาคใต้
และภาคตะวันออกเฉียงใต้ และริมลำห้วยในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ออกดอก ตุลาคม - ธันวาคม เริ่มติดฝักประมาณเดือนมกราคม
เมล็ดแก่ประมาณเดือน มีนาคม
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด
ประโยชน์ เนื้อไม้สีขาวอมเหลืองอ่อน เนื้อไม้หยาบ อ่อนแต่เหนียว ตบแต่งง่าย
ใช้ทำหีบใส่ของ ลูกทุ่นอวน รองเท้าไม้
ของเล่นสำหรับเด็ก ไม้จิ้มฟัน เปลือกใช้รักษาโรคบิด แก้หวัด หลอดลมอักเสบ
เป็นยาสมานลำไส้ ใบใช้พอกดับพิษต่าง ๆ
ยางทำยารักษาแผลเน่าเปื่อย
บริเวณที่พบในโรงเรียน : ตึก 60 ปี
สนประดิพัทธ์
ชื่อวิทยาศาสตร์ Casuarina junghuhniana Mig.
ชื่อวงศ์ Casuarinaceae
ชื่อสามัญ สนประดิพัทธ์
ลักษณะทั่วไป: สนประดิพัทธ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางมีความสูงประมาณ 10-20 ม. ไม้ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกของลำต้น สีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นร่องตื่น ๆ ลอกเป็นแผ่นลึก ๆ ห้อยตามลำต้น
รูปทรง (เรือนยอด) รูปกรวยแหลม กิ่งขนาดเล็กทำมุกแหลมกับลำต้นและแตกกิ่งเป็นระเบียบ
ใบ ใบเล็กแหลมติดอยู่ตามข้อของกิ่งย่อย
ดอก ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกันอยู่บนกิ่งแม้ในต้นเดียวกันหรือต่างต้นดอกเพศผู้เป็นช่อแบบหางกระรอก เกิดตามปลาย ๆ กิ่งย่อย ส่วนดอกเมียเป็นช่อกลมอยู่ใกล้ ๆ กิ่งใหญ่
ผล ผิวแข็งเรียงอัดกันเป็นก้อนกลม ๆ
การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า ใช้หน่อจากราก, ตอนจากกิ่งที่เกิดจากราก ต้น ยอดของต้น และปลายกิ่ง, การชำกิ่ง กล้าไม้ที่ได้จากทั้ง 3 ส่วนข้างต้น จำเป็นต้องอาศัยผู้มีความรู้ และประสบการณ์ พอสมควร จึงจะสามารถดำเนินการได้
การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้ เสาโป๊ะ เสากระโดงเรือ ทำฟืนและถ่าน ไม้กระดาน ไม้ฝา
ชื่อวงศ์ Casuarinaceae
ชื่อสามัญ สนประดิพัทธ์
ลักษณะทั่วไป: สนประดิพัทธ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางมีความสูงประมาณ 10-20 ม. ไม้ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกของลำต้น สีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นร่องตื่น ๆ ลอกเป็นแผ่นลึก ๆ ห้อยตามลำต้น
รูปทรง (เรือนยอด) รูปกรวยแหลม กิ่งขนาดเล็กทำมุกแหลมกับลำต้นและแตกกิ่งเป็นระเบียบ
ใบ ใบเล็กแหลมติดอยู่ตามข้อของกิ่งย่อย
ดอก ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกันอยู่บนกิ่งแม้ในต้นเดียวกันหรือต่างต้นดอกเพศผู้เป็นช่อแบบหางกระรอก เกิดตามปลาย ๆ กิ่งย่อย ส่วนดอกเมียเป็นช่อกลมอยู่ใกล้ ๆ กิ่งใหญ่
ผล ผิวแข็งเรียงอัดกันเป็นก้อนกลม ๆ
การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า ใช้หน่อจากราก, ตอนจากกิ่งที่เกิดจากราก ต้น ยอดของต้น และปลายกิ่ง, การชำกิ่ง กล้าไม้ที่ได้จากทั้ง 3 ส่วนข้างต้น จำเป็นต้องอาศัยผู้มีความรู้ และประสบการณ์ พอสมควร จึงจะสามารถดำเนินการได้
การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้ เสาโป๊ะ เสากระโดงเรือ ทำฟืนและถ่าน ไม้กระดาน ไม้ฝา
บริเวณที่พบในโรงเรียน : บริเวณรอบสนามฟุตบอล