Translate

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่างพันธุ์พืชในโรงเรียน


หูกวาง

ชื่อทางพฤกษศาสตร์  :  Terminalia  Catappa,  Linn
วงศ์  :  COMBRETACEAE
ชื่อที่เรียก  :  ในไทยทั่วไปเรียก  หูกวาง  ภาคใต้เรียก  โคน,  ดัดมือหลุมบังพายัพเรียก  ตาปัง
ลักษณะ  :  เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง  มีกิ่งก้านแตกแผ่ออกไปรอบต้นเป็นชั้นๆดูคล้ายฉัตร ถ้าต้นงามจะแตกแผ่ออกเป็น  2-3  ชั้น  สวยดี  ใบโตใหญ่รูปลักษณะคล้ายหูกวางจริงๆ  แต่โตกว่าหูของกวาง  จึงเรียกว่าต้นหูกวาง  ใบเขียวแก่และหนา  ใช้เป็นไม้ร่มดี  ดอกเป็นช่อเล็กๆยาวๆแกมเขียวๆ  เหลืองๆ  มีผลเกิดจากดอกกลมเเบนๆ  มีสันขึ้นเป็นปีกโดยรอบ  เมล็ดในโต  รับประทานได้เป็นอาหาร
การเจริญเติบโต  :  เป็นไม้ที่เกิดตามป่าราบทั่วๆไป  ปลูกตามบ้านตามวัดเป็นไม้ร่มบังแดดได้ดี  เพราะใบมีพุ่มงาม  ขึ้นได้ในดินทุกภาคของประเทศไทย  ขยายพันธ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ประโยชน์  :  ใช้เป็นร่มไม้ได้ดีมาก  แต่ไม่ใคร่มีใครปลูกใกล้ตัวอาคารบ้านเรือน  ยิ่งเป็นตึกยิ่งไม่หน้าปลูก  เพราะเป็นไม้โตเจริญเร็ว  ร่กจะดันตัวอาคารทำให้ตัวอาคารแตจกหรือร้าวเสียหายหมดใบแก่ให้สีขี้ม้าและนำมาใช้ในการย้อมผ้าได้ เมล็ด นำเอามาทำเป็นอาหารรับประทานได้  ต้นหูกวางนี้มีชื่อทางการค้าว่า  indian almond ใช้รับประทานแก้ขัดเบา   แก้นิ่ว
บริเวณที่พบในโรงเรียน ข้างสนามเทนนิส
                                                                                                                    


 พญาสัตบรรณ

พันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลจังหวัดสมุทรสาคร
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alstonia scholaris  (L.) R. Br.
วงศ์ APOCYNACEAE
ชื่อสามัญ White Cheesewood
ชื่ออื่น ตีนเป็ด หัสบัน สัตบรรน จะบัน บะซา
ไม้ต้น  ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15 - 35 เมตร โคนต้นมักเป็นพูพอน 
เปลือก  สีเทาอ่อนหรือเทาอมเหลือง ค่อนข้างหนา 
ใบ  ใบเดี่ยวเรียงกันเป็นวง 4 - 7 ใบ แผ่นใบรูปมนแกมรูปไข่กลับ ปลายแหลมเป็นติ่งเล็กน้อยโคนสอบ เข้าหากันเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ 
ดอก  ดอกเล็ก สีเขียวอมเหลือง หรืออมขาวออกเป็นกลุ่มในช่อซึ่งแยกกิ่งก้าน       ออกจากจุดเดียวกันตามปลายกิ่ง 
ผล  เป็นฝักเรียว ยาว 10 - 20 เซ็นติเมตร เมล็ดแบบทรงบรรทัดแคบ ๆ ยาว ประมาณ 7มิลลิเมตร มีขนยาวอ่อนนุ่มปุกปุยติดอยู่เป็นกระจุกที่ปลายทั้งสองข้าง
นิเวศวิทยา ขึ้นกระจายอยู่ห่าง ๆ ในป่าดงดิบชื้นทางภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้   และริมลำห้วยในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ออกดอก  ตุลาคม - ธันวาคม เริ่มติดฝักประมาณเดือนมกราคม   เมล็ดแก่ประมาณเดือน มีนาคม
ขยายพันธุ์  โดยเมล็ด
ประโยชน์ เนื้อไม้สีขาวอมเหลืองอ่อน เนื้อไม้หยาบ อ่อนแต่เหนียว ตบแต่งง่าย ใช้ทำหีบใส่ของ ลูกทุ่นอวน  รองเท้าไม้ ของเล่นสำหรับเด็ก ไม้จิ้มฟัน เปลือกใช้รักษาโรคบิด แก้หวัด หลอดลมอักเสบ เป็นยาสมานลำไส้  ใบใช้พอกดับพิษต่าง ๆ ยางทำยารักษาแผลเน่าเปื่อย
บริเวณที่พบในโรงเรียน : ตึก 60 ปี
                                                                                                                    

สนประดิพัทธ์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Casuarina junghuhniana Mig.
ชื่อวงศ์ Casuarinaceae
ชื่อสามัญ สนประดิพัทธ์
ลักษณะทั่วไป: สนประดิพัทธ์ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางมีความสูงประมาณ 10-20 ม. ไม้ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกของลำต้น สีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นร่องตื่น ๆ ลอกเป็นแผ่นลึก ๆ ห้อยตามลำต้น
รูปทรง (เรือนยอด) รูปกรวยแหลม กิ่งขนาดเล็กทำมุกแหลมกับลำต้นและแตกกิ่งเป็นระเบียบ
ใบ ใบเล็กแหลมติดอยู่ตามข้อของกิ่งย่อย
ดอก ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างดอกกันอยู่บนกิ่งแม้ในต้นเดียวกันหรือต่างต้นดอกเพศผู้เป็นช่อแบบหางกระรอก เกิดตามปลาย ๆ กิ่งย่อย ส่วนดอกเมียเป็นช่อกลมอยู่ใกล้ ๆ กิ่งใหญ่
ผล ผิวแข็งเรียงอัดกันเป็นก้อนกลม ๆ
การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า ใช้หน่อจากรากตอนจากกิ่งที่เกิดจากราก ต้น ยอดของต้น และปลายกิ่งการชำกิ่ง กล้าไม้ที่ได้จากทั้ง 3 ส่วนข้างต้น จำเป็นต้องอาศัยผู้มีความรู้ และประสบการณ์ พอสมควร จึงจะสามารถดำเนินการได้
การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้ เสาโป๊ะ เสากระโดงเรือ ทำฟืนและถ่าน ไม้กระดาน ไม้ฝา
บริเวณที่พบในโรงเรียน : บริเวณรอบสนามฟุตบอล
                                                                                                                    

คว่ำตายหงายเป็น

ชื่อวิทยาศาสตร์: Kalanchoepinnata (Lam.) Pers.
วงศ์: CRASSULACEAE
ชื่ออื่น:กระลำเพาะ;กะเร;กาลำ (ตราด);แข็งโพะ;ต้นตายใบเป็น;ต้นตายปลายเป็น (จันทบุรี);ตรัง);ตาละ (มลายู –ยะลา);นิรพัตร;เบญจฉัตร (ภาคกลาง);ปะเตียลเพลิง (เขมร–จันทบุรี);เพรอะแพระ (ประจวบคีรีขันธ์);โพะเพะ (นครราชสีมา);มะตบ;ยาเท้า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ);ล็อบแล็บ;ลุบลับ;ลุมลัง (ภาคเหนือ);ส้มเช้า (ประจวบคีรีขันธ์)
ลักษณะทางพฤกศาสตร์:
ลำต้นไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงไม่แตกกิ่งก้าน สูงได้ถึง 1.5 เมตร ส่วนที่ยังอ่อนอยู่ของลำต้นมีข้อโป่งพอง สีเขียวและมีแถบสีม่วงเข้ม
ใบ เป็นใบเดี่ยว หนา อวบน้ำ ออกเรียงตรงข้ามเป็นคู่ ใบรูปไข่แกมสมาเหลี่ยม กว้าง 2.5-5เซนติเมตรม. ยาว 5-15 เซนติเมตร. ปลายใบเรียว โคนใบหยักเว้ามนตื้นๆ แต่ละรอยหยักจะมีตาที่สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้ ก้านใบกลม มีสีแดง
ดอก เป็นดอกช่อออกที่ปลายยอด ช่อดอกยาว 8-10 เซนติเมตร ดอกสีแดงและเขียว รูปทรงกระบอก ห้อยลง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายหยักเป็นแฉกรูสามเหลี่ยมแกมรูปไข่ 4 แฉก ปลายแหลม กลีบดอกเหมือนกลีบเลี้ยง
ผล เป็นพวง มี 4 หน่วย
 ส่วนที่ใช้และสรรพคุณ:ใบตำพอกฝี ถอนพิษแก้ปวดแสบปวดร้อน คั้นเอาน้ำผสมกับนำมันมะพร้าว ทาถูนวดระงับการโตของอวัยวะในโรคเท้าช้าง แก้ฝีมีหนอง รับประทาน ดับพิษร้อนแก้ปวด แก้บิด
บริเวณที่พบในโรงเรียน : ตึก 60 ปี


1 ความคิดเห็น: